1. ต้องศรัทธาในแนวคิดการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง พ่อมหาอยู่ได้กล่าวย้ำทุกครั้งว่าหากจะพัฒนาอะไร ต้องเตรียมสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้อง
เช่น จะปลูกพืชอะไร ต้องเตรียมดิน
จะกินอะไร ต้องเตรียมอาหาร
จะพัฒนาการ ต้องเตรียมประชาชน
จะพัฒนาคน ต้องเตรียมที่จิตใจ
จะพัฒนาใครเขา ต้องเตรียมที่ตัวเราก่อน
ดังนั้นการที่ใครจะพัฒนาตนเองและครอบครัวให้พึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้จะ ต้องเตรียมความคิด และความศรัทธาในการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองก่อนเสมอ โดยเรียนรู้และเชื่อมโยงให้ครบ
2. ต้องออมน้ำ ออมดิน ออมต้นไม้ใหญ่ ออมเงิน และสั่งสมภูมิปัญญาในการแก้ปัญหา พ่อมหาอยู่ ได้อาศัยหลักคิดของบรรพบุรุษที่สร้างแนวคิดให้ลูกหลานรักและเคารพน้ำ ให้เป็นแม่คือ แม่คงคา รักและเคารพดินให้เป็นแม่คือ แม่ธรณี ยกให้ต้นไม้ใหญ่เป็นรุกขเทวดา รวมทั้งเรียนรู้เท่าทัน มีภูมิปัญญาในการแก้ปัญหาและออมเงิน มาสร้างทุนทางสิ่งแวดล้อม เหล่านี้เป็นบำนาญชีวิต ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- ตลอด ชีวิตที่ผ่านมา พ่อมหาอยู่ ได้ประสบความแห้งแล้งมาตลอด ต้องเดินทางไปหาบน้ำจากที่ไกลๆ เพื่อหาน้ำมาใช้ เมื่อเกิดภาวะแห้งแล้งมากๆ จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะสู้ความแห้งแล้ง และได้ตั้งปณิธานมุ่งมั่นขุดบ่อ ทำฝายกั้นน้ำ โดยใช้กำลังของตนเอง จนมีสระน้ำจำนวนมาก สามารถกักเก็บน้ำไว้ตลอดปี
- น้ำ เป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ การทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวจะไม่ได้ออมน้ำไว้ใช้เพราะเน้นว่าที่ดินทุกตาราง นิ้วไว้ปลูกพืชเพื่อขาย เมื่อเกิดการแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนเกษตรกรจึงทุกข์ยากมากและเป็นหนี้สิน เหมือนในปัจจุบัน เมื่อพ่อมหาอยู่ ขุดสระเก็บน้ำไว้ได้ สิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็เริ่มกลับมาอยู่ด้วย ในเนื้อที่ 100 ไร่จึงมีทั้งกล้วย มะม่วง มะพร้าว ขนุน ไม้สัก ไม้สะเดา ไม้ไผ่ และต้นไม้หลากหลายพันธุ์นับร้อยชนิด รวมทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ วัว ควาย และปลาอีกจำนวนมาก และในยามนี้ลูกหลานก็กลับมาร่วมชื่นชมและอยู่ปรนนิบัติคุณพ่อคุณแม่ การออมน้ำของพ่อมหาอยู่จึงได้สร้างชีวิตจำนวนมาก รวมทั้งชีวิตครอบครัวที่มีความสุข พึ่งตนเองได้
- ช่วง ที่บวชเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้พบเห็นชาวสวนแถวๆ ฝั่งธนบุรีและนนทบุรี ปลูกพืชแบบยกร่อง มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด เกิดความร่มรื่น ใบไม้ที่ร่วงผุ และเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ย ขี้โคลนที่ลอกขึ้นมาจากท้องร่อง นำมากลบโคนต้นไม้ กลายเป็นปุ๋ยอย่างดี กลายเป็นการออมความอุดมสมบูรณ์ของดิน ช่วยให้ไม่มีรูรั่วไปซื้อปุ๋ยเคมี พ่อ มหาอยู่ได้ออมต้นไม้ใหญ่นับร้อยชนิด จำนวนหลายพันต้นทั้งผัก ผลไม้ และไม้ใช้สอย โดยระยะเริ่มต้นจะใช้กล้วยเป็นพืชพี่เลี้ยงและตามด้วยต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ ผลของการออมต้นไม้ใหญ่ทำให้มีปัจจัย 4 ครบทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยาสมุนไพรรักษาโรค นอกจากนี้ยังทำให้สัตว์ต่างๆ เช่น นก งู กบ เขียด มีที่พักอาศัย และที่สำคัญต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ได้กลายเป็นบำนาญชีวิต ที่ช่วยต่ออายุของผู้เฒ่า ทั้งสามีภรรยาให้มีความสุขทั้งกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ
- การเงินดี เป็นคาถาสำคัญที่พ่อมหาอยู่คอยบอกผู้มาเยือนว่า หากรู้จักออมเงิน นอกจากเงินจะกลายเป็นบำนาญชีวิตแก่ผู้ที่ออมมันไว้แล้ว เงินยังช่วยให้เราสามารถสร้างทุนทางสิ่งแวดล้อม เช่น จ้างรถแมคโครมาขุดสระออมน้ำ ใช้เงินซื้อที่ดินเพิ่ม เป็นการออมที่ดิน ซื้อต้นไม้พันธุ์ดีมาเปลี่ยนยอดพันธุ์พื้นเมืองให้ได้ผลผลิตดีไว้กิน ไว้แจกมีเหลือขายได้อีกด้วย และที่สำคัญยังสามารถเปลี่ยนเงินเป็นทุนทางปัญญา เช่น ใช้เป็นค่ารถให้สมาชิกมานั่งคุยกัน หรือไปศึกษาดูงาน เป็นต้น ดังนั้นพ่อมหาอยู่จึงได้พาเครือข่ายตั้งกลุ่มออมทรัพย์จนได้รับประกาศ เกียรติคุณ “ผู้นำกลุ่มสมาชิกที่ระดมเงินฝากโครงการออมทรัพย์วันละนิดเพื่อชีวิต สหกรณ์ดีเด่น” ประจำปี 2531 จาก สหกรณ์การเกษตรเมืองสุรินทร์ จำกัด
หลักการสร้างปัญญา
พ่อมหาอยู่ อาศัยหลักการสร้างปัญญาไว้ 3 ทาง คือ
ก) สุตมยปัญญา ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการสดับ การเล่าเรียน
ข) จินตามยปัญญา ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการพิจารณาเหตุผล
ค) ภาวนามยปัญญา ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ
โดยวิธีสร้างปัญญาดังกล่าวร่วมกับการครองตนด้วยธรรมะข้ออื่นๆ อีกหลายข้อที่ยึดถือปฏิบัติอยู่เป็นนิตย์ทำให้พ่อมหาอยู่กลายเป็นผู้ทรง ภูมิปัญญา เป็นผู้เฒ่าที่มีคุณค่าและชราอย่างมีความสุข
3. ต้องผสมผสานด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพช่วยให้เราลดรายจ่ายด้านอาหารการกินลงได้อย่างชัดเจน เพราะเราปลูกและเลี้ยงทุกอย่างที่ต้องกินและต้องใช้ เมื่อมีเหลือก็แจกญาติสนิทมิตรสหาย ทำให้รักใคร่และพึ่งพากันเองได้ เหลือกินเหลือใช้ เหลือแจกก็ขายช่วยให้มีรายได้เพิ่ม ปลดเปลื้องหนี้สินได้ และมีเงินออม ทั้งออมเงินในรูปของแม่ธรณี แม่คงคา แม่มัจฉา แม่โพสพ และรุกขเทวดา รวมความว่าความหลากหลายทางชีวภาพช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น และยังช่วยให้ระบบนิเวศน์ดีขึ้น เพราะใบไม้ของต้นไม้ชนิดหนึ่งย่อยสลายแล้วกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ของอีกชนิด หนึ่ง การมีต้นไม้หลากหลายทำให้มีแมลงที่หลากหลายและควบคุมกันเอง มีสัตว์กินแมลง เช่น นก กบ เขียด มาอาศัยอยู่เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ตามมาด้วยงู กระรอก กระแตมาอยู่ร่วมกันได้ เพิ่มปุ๋ยคอกแก่ต้นไม้ด้วย การเป็นอาหารของกันและกัน พร้อมควบคุมกันเองทำให้ห่วงโซ่อาหารครบวงจร เกิดความยั่งยืน รวมทั้งไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า และสารเคมีฆ่าแมลง ช่วยให้พึ่งตนเอง และพึ่งพากันเองได้ นอก จากนั้นการใช้ไม้พันธุ์พื้นเมืองยังช่วยให้ได้ต้นไม้และสัตว์ที่ทนโรคทนแล้ง และเมื่อต้องการพันธุ์ดีก็นำกิ่งดีๆ มาติดตาต่อกิ่งหรือเปลี่ยนยอดได้
ความสุขที่สัมผัสได้ เมื่อถามถึงความสุขพ่อมหาอยู่ตอบทันทีว่า คือ
- อารมณ์ดี หมายถึง มีอยู่มีกิน ไม่มีหนี้ ครอบครัวมีสุข
- อากาศดี หมายถึง สิ่งแวดล้อมดีๆ
- อาหารดี หมายถึง อาหารพอเพียงครบทุกหมวดหมู่ สะอาด และปลอดภัยจากสารพิษ
- สมุนไพรดี หมายถึง มีสมุนไพรเป็นทั้งอาหารในชีวิตประจำวัน และเป็นยารักษาโรคอย่างพอเพียง
- การเงินดี หมายถึง ดูแลดีไม่มีรูรั่ว และออมเป็น
วิธีการได้มาซึ่งความสุข ใช้หลักการมีศีล คือ
- สีเลนะ สุคะติง ยันติ (ศีลทำให้เกิดความสุขตลอดไป)
- สีเลนะ โภคะสัมปะทา (ผู้มีศีลจะถึงพร้อมด้วยสมบัติ)
- สีเลนะ นิพพุติง ยันติ (ศีลทำให้ได้พระนิพพาน คือสงบจากกิเลส)
- ตัสมา สีลัง วิโสธเย (ดังนั้นจงรักษาศีลให้บริสุทธิ์เถิด จะทำอะไรต้องใช้ศีลควบคุมตนเองและแนวทางโครงการเสมอ)
การขยายความคิดและเครือข่ายหนึ่งล้านครอบครัวในอีสาน ตลอด 40 ปีเศษ ของความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พ่อมหาอยู่ได้ขยายความคิดออกไปอย่างกว้างขวาง โดยรับดูงานทั้งชาวบ้าน ผู้นำชาวบ้าน นักพัฒนาภาครัฐ นักพัฒนาภาคเอกชน นักวิชาการ นักธุรกิจ และสื่อมวลชนรวมทั้งผู้สนใจนับได้ไม่หวาดไม่ไหว และพ่อมหาอยู่ได้ปวราณาตัวที่จะรับใช้แผ่นดินไทยจนกว่าชีวิตจะหาไม่ให้ได้ หนึ่งล้านครอบครัวในภาคอีสานที่พึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้ถวายในหลวง โดยร่วมขบวนการใน 3 เครือข่ายใหญ่ๆ ดังนี้ คือ
1. เครือข่ายภูมิปัญญาชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสาน
2. เครือข่ายขุดสระตามทฤษฎีใหม่จังหวัดสุรินทร์
3. เครือข่ายจัดสวัสดิการเร่งด่วน เพื่อผู้ยากไร้ของกองทุนเพื่อสังคม
ซึ่งทั้ง 3 เวทีเครือข่ายจะพบพ่อมหาอยู่เสมอ รวมทั้งศูนย์เรียนรู้ของท่านยินดีต้อนรับผู้ดูงานที่สนใจ
แก่เกษตรผสมผสานยิ่งแก่ยิ่งมัน
หลายคนไปเรียนถามพ่อมหาอยู่ว่าไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือไร อายุมากถึงปานนี้ยังเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อขยายความคิด พ่อมหาอยู่ได้ตอบไปว่าความแก่มีมากมายหลายประเภท เช่น - แก่หูหวาย - แก่ได้ดอก
- แก่หยอกหลาน - แก่กระดูก (ไฮโล)
- แก่กระดาษ (ไพ่) - แก่แดด (ตากแดด)
- แก่แรด (ยิงสัตว์) - แก่ฟักแก่แฟง
แต่ผมแก่เกษตรผสมผสาน ยิ่งแก่ยิ่งมันส์ เพราะมีทั้งบำนาญชีวิต มีร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าวัยเดียวกันหลายเท่า มีครอบครัวที่อบอุ่น มีชุมชนที่เข้มแข็ง มีสิ่งแวดล้อมดี มีอิสรภาพไร้หนี้ปลอดสิน มีความภาคภูมิใจได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่ลูกหลานและผู้สนใจไม่รู้ เบื่อ และที่สำคัญคือ มีปัญญาเรียนรู้ธรรมะ และธรรมชาติ เห็นสัจธรรมของความยั่งยืนจากความสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
ความสำเร็จอยู่ที่การเตรียมตัว
พ่อมหาอยู่ได้ให้คาถาของความสำเร็จในปัจจุบันเพิ่มเติมจากอิทธิบาท 4 ว่าต้องวางแผน กล่าวคือ คนเราจะต้องเตรียมตัวดังนี้
- เตรียมตัวก่อนตาย
- เตรียมกายก่อนแต่ง
- เตรียมน้ำก่อนแล้ง
- เตรียมแรงก่อนทำงาน
ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเป็น “พ่อมหาอยู่ สุนทรธัย” ปราชญ์ชาวบ้านอาวุโสของภาคอีสานที่มีความสุข ซึ่งพวกเรารักและเคารพ
จุดเด่นของศูนย์เรียนรู้ของพ่อมหาอยู่ สุนทรธัย
1. เป็นพุทธเกษตรที่นำความรู้ทางพุทธศาสนามาประยุกต์กับการทำเกษตรผสมผสาน
2. มีการออมน้ำ ออมความอุดมสมบูรณ์ของดิน การออมสัตว์ และออมต้นไม้ยืนต้นทั้งผัก ผลไม้ และไม้ไม้ใช้สอย
3. มีการจัดการที่ชัดเจน
4. มีรูปธรรมการมีความสุขในมิติต่างๆ
หลักสูตรดูงาน
1. ดูงานเฉพาะของพ่อมหาอยู่ สุนทรธัย ใช้เวลา 3-6 ชั่วโมง
2. ดูงานกลุ่มเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านใช้เวลา 3-5 วัน
ศูนย์เรียนรู้ของพ่อมหาอยู่ สุนทรธัย
มีผู้มาศึกษาดูงานเป็นจำเดือนละ 10-15 คณะ โดยปี 2542 มีผู้มาศึกษาดูงาน 5000 คนเศษ รูปแบบการเกษตรผสมผสานในศูนย์เรียนรู้แห่งนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อ เกษตรกรที่สนใจ แนวคิดการพึ่งตนเองเป็นหัวใจสำคัญต่อทุกคนที่มาเรียนรู้
กลุ่มต่างๆ ที่น่าจะได้มาศึกษาดูงาน ได้แก่
1. เกษตรกรที่สนใจทั้งชายและหญิง
2. เด็กและเยาวชน
3. ข้าราชการที่สนใจทฤษฎีใหม่
กว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมา แนวคิดเกษตรกรรมยั่งยืนของมหาอยู่ได้เผยแพร่ไปในวงกว้าง ท่านได้ปวารณาตัวที่จะรับใช้แผ่นดินไทยจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพื่อให้หนึ่งล้านครอบครัวในภาคอีสานสามารถพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้ถวาย ในหลวง โดยร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนภาคอีสานหลายแห่ง อาทิ เครือข่ายภูมิปัญญาชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสาน จัดตั้ง "มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาไทอีสานคืนถิ่น" ขึ้นเพื่อเผยแพร่ไม่ให้ภูมิปัญญาพื้นถิ่นของชาวอีสานสูญหายไป และนับเป็นเกียรติสำคัญยิ่งในชีวิต เมื่อมหาอยู่ สุนทรธัย ปราชญ์แห่งเกษตรกรรมยั่งยืน ได้เข้ารับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารี ในงานสมัชชาเกษตรกรรมทางเลือก ครั้งที่ ๓ ในฐานะผู้สร้างสรรค์เกษตรกรรมยั่งยืน
องค์ความรู้ที่ได้
- การทำเกษตรผสมผสาน เพื่อใช้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยพยุงวิถีชีวิตให้มีทางเลือก
โดยเราสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมและวิถีวัฒนธรรมของตนเองได้
- การพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง
- การออมน้ำ ออมดิน ออมต้นไม้ใหญ่ ออมเงิน
และสั่งสมภูมิปัญญาในการแก้ปัญหา
- หลักการสร้างปัญญา 3 ทาง คือ
1) สุตมยปัญญา ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการสดับ การเล่าเรียน
2) จินตามยปัญญา
ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการพิจารณาเหตุผล
3) ภาวนามยปัญญา ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ
- ประโยชน์ของความหลากหลายทางชีวภาพ
1) ช่วยให้เราลดรายจ่ายด้านอาหารการกินลงได้อย่างชัดเจน
2) ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น
3) ช่วยให้ระบบนิเวศน์ดีขึ้น
- ใช้หลักการมีศีล ในการสร้างความสุข คือ
1) สีเลนะ สุคะติง ยันติ (ศีลทำให้เกิดความสุขตลอดไป)
2) สีเลนะ โภคะสัมปะทา (ผู้มีศีลจะถึงพร้อมด้วยสมบัติ)
3) สีเลนะ นิพพุติง ยันติ (ศีลทำให้ได้พระนิพพาน คือสงบจากกิเลส)
4) ตัสมา สีลัง วิโสธเย (ดังนั้นจงรักษาศีลให้บริสุทธิ์เถิด จะทำอะไรต้องใช้ศีลควบคุมตนเองและแนวทางโครงการเสมอ)
- ความสำเร็จอยู่ที่การเตรียมตัว คนเราจะต้องเตรียมตัวดังนี้
1) เตรียมตัวก่อนตาย
2) เตรียมกายก่อนแต่ง
3) เตรียมน้ำก่อนแล้ง
4) เตรียมแรงก่อนทำงาน
รางวัลที่ได้รับ
- รับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช
กุมารี ในงานสมัชชาเกษตรกรรมทางเลือก ครั้งที่ ๓
ในฐานะผู้สร้างสรรค์เกษตรกรรมยั่งยืน
- ประกาศ เกียรติคุณ “ผู้นำกลุ่มสมาชิกที่ระดมเงินฝากโครงการออมทรัพย์วันละนิดเพื่อชีวิต
สหกรณ์ดีเด่น” ประจำปี 2531 จาก สหกรณ์การเกษตรเมืองสุรินทร์ จำกัด
จุดเด่น
ลักษณะการทำเกษตรและแนวคิด
การทำเกษตรผสมผสาน
พออยู่พอกิน ผสมผสานด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ การพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง การสร้างความสุขด้วยหลักการมีศีล
การเผยแพร่ความรู้สู่คนในชุมชนและผู้ที่สนใจ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ลุงไกร ชมน้อย (ผักปลอดสารพิษ)
‘ลุงไกร ชมน้อย’ ผู้สร้างตำนาน ‘ผักปลอดสารพิษ’
เรื่องของเกษตรอินทรีย์ หรือผักปลอดสารพิษ เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจกับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ทำให้อะไรก็ตามที่แปะยี่ห้อว่าปลอดสารพิษราคาจะพุ่งสูงลิ่ว อย่างไม่รู้สาเหตุว่าแพงเพราะอะไร ในขณะที่กระแสความนิยมกับผลิตภัณฑ์พืชผักปลอดสารพิษ ค่อนข้างสวนทางกัน ไม่สามารถตอบสนองกับตลาดได้มากเท่าที่คิด นำมาสู่ปัญหาการปลอมผัก คือถุงใส่ผักระบุว่าผักปลอดสารพิษ แต่ผักข้างในยังอุดมไปด้วยสารเคมี ซึ่งแบบนี้ก็มีเกิดขึ้นอยู่
การทำเกษตรแบบปลอดสารพิษ คือการกลับไปสู่เกษตรแบบดั้งเดิม ที่พึ่งพาลมฟ้าอากาศตามฤดูกาลที่ผักนั้นจะออกผล และแน่นอนว่า ไม่สามารถตามใจตลาดได้ ตลาดเองต้องเป็นคนเดินตามเกษตรกร นี่จึงเป็นคำตอบนึงว่าทำไมผักลอดสารถึงมีราคาแพง และมีจำนวนไม่มาก
อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เป็นประตูเชื่อมระหว่างภาคอีสานกับภาคตะวันออก หลายคนมักเรียกว่า "สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน" เพราะแวดล้อมไปด้วยขุนเขาและที่ลาดชัน ก่อให้เกิดทัศนียภาพสุดสวย อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เป็นแหล่งผลิตโอโซนบริสุทธิ์ติดอันดับ 7 ของโลก เป็นแหล่งรวมเกษตรกรคนเก่งและปราชญ์ชาวบ้านที่มีชื่อเสียงมากมาย อย่างเช่น ลุงไกร ชมน้อย เกษตรศิลปินปราชญ์เดินดิน หากินอย่างพอเพียง
ลุงไกร ชมน้อย กล่าวว่า หากย้อนหลังไป 10 ปี พื้นที่ส่วนใหญ่ของ อ.วังน้ำเขียว ยังคงปลูกข้าวโพดหรือพืชเชิงเดี่ยว ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ ราคาผลผลิตไม่แน่นอน ตอนนั้นได้พาครอบครัวออกจากเมืองหลวงมาปักหลักปลูกผักขายอยู่ที่วังน้ำเขียว
ลุงไกรกล่าวว่า เคยไปทำงานด้านช่างในต่างประเทศ ทำให้ได้พบเห็นการเกษตรในที่ต่างๆ จึงตัดสินใจปลูกผักสลัด ทั้งที่ยังไม่มีความรู้ด้านการเกษตรเลย ช่วงนั้นคนมองว่าบ้าเอาผักเมืองหนาวมาปลูกในแผ่นดินอีสาน แต่ไม่เคยสนใจเอาความวิริยะบวกความเพียร เพาะปลูกโดยใช้เมล็ดเพาะ พื้นที่ 1 ตร.ม.จะได้ผัก 12 กอ ต้องคำนวณว่าในแต่ฤดูได้กอละกี่ขีดแล้วใช้วิธีขายตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ช่วงแรกติดต่อส่งผักเข้าเลมอนฟาร์ม ซึ่งต้องการสัปดาห์ละ 300 กก. ทำให้ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ได้ผักอย่างที่ลูกค้าต้องการ ไม่จำเป็นต้องเน้นปริมาณ ผักบางชนิดราคาในตลาด กก.ละ 300 บาท ได้พยายามมองหาผักใหม่ๆ มาทดลองปลูกอยู่เสมอและประเมินความต้องการของตลาด
"ผักที่ปลูกตอนนี้มีผักกาดแก้ว, ครอส, เรด โอ๊ก, กรีนโอ๊ก, บัตเตอร์เฮด และสลัดใบแดง และยังลงหัวบีตรูต มะเขือราชินี มะเขือเทศเนื้อ และข้าวโพดสองสีเสริมเข้าไป ถ้ามีป้อนตลาดก็รับหมด แต่หลักจริงๆ คือผักสลัดอย่าให้ขาด สมมติว่าปลูกข้าวโพดสองสีหนอนชอบมากก็แค่ข้าวโพด ผมอาจเสียหายข้าวโพด 3 แปลง แต่ผมได้ผัก 40 แปลง เราต้องให้โอกาสแมลงเหมือนกันให้เขามีตัวเลือก นั่นคือการปลูกผักใกล้เคียงกับธรรมชาติ ให้เกิดความสมดุล ให้ผักมันควบคุมของมันเองโดยที่เราไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง การรดน้ำผมก็ใช้ระบบเดินฉีด บางทีหนอนกำลังกินใบอยู่แรงดันน้ำจะทำให้หนอนตกลงไปกองอยู่กับพื้น พวกนี้มันอยู่ตรงไหนก็ตรงนั้น เมื่อตกดินก็กินดินเป็นการลดต้นทุน แต่เหนื่อยแรงงานหน่อย จริงๆ แล้วการเป็นเกษตกรเป็นเรื่องที่ง่าย หากรู้จักสังเกตเขาก็จะเป็นดอกเตอร์ได้" ลุงไกรกล่าว
ปัจจุบันลุงไกรใช้ชีวิตในดินแดนแห่งนี้อย่างมีความสุข ร้องเพลงให้ผักฟังทุกวัน มีคนไปเยี่ยมชมไม่ขาดสาย ถือเป็นเกษตรกรศิลปินที่น่ายกย่องและเอาเป็นแบบอย่าง
องค์ความรู้ที่ได้
- การทำเกษตรอินทรีย์ หรือผักปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพที่ดีของเกษตรกรและผู้บริโภค และยังส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- การนำเอาแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการทำเกษตร
รางวัลที่ได้รับ
- โล่ประกาศเกียรติคุณโครงการพัฒนาและส่งเสริมศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน (FARM OUTLET)
จุดเด่น
แนวคิดในการทำเกษตรอินทรีย์โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค และการเผยแพร่ความรู้จากประสบการณ์ของตนแก่ผู้ที่สนใจ
http://goodmap.kapook.com/reports/view/61